Sunday, May 31, 2009

มะรุมสมุนไพรไทย กำลังเป็นที่สนใจอย่างแรง

เรื่องมะรุม??
เมื่อเช้าดูช่อง 9 มา เรื่องมะรุม??
/>มีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่สหรัฐอเมริกา ?
ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน
ความดันโลหิตสูง ? เม็ดเลือดขาวกินเม็ดเลือดแดง ( ลูคีเมีย)
และปอดมีปัญหาอักเสบ ? ไปหาหมอ หมอก็รักษาที่ละโรค ? ? พอดีปวดฟันไปถอนฟัน หมอให้กินยาเพนนิซิลิน ? ดันแพ้ยาอย่างรุนแรง ? ?
จนเกิดอาการบวมและลามไปที่ไตเกิดปัญหา ? ?
/>/>หมอต้องเริ่มรักษาใหม่ของแต่ละโรคเพราะว่ายาที่รักษาแต่ละโรค ?
/>จะมีเพนนิซิลินเป็นส่วนประกอบ และหมอก็ให้เค้าเตรียมทำใจ

พอดีเพื่อนที่ทำงานด้วยกันเป็นชาวพม่า ? ? แม่ป่วยเป็นมะเร็ง
/>เค้าต้องการหายารักษาโรค ? ? ด้วยความหวังดีเค้ามาหาข้อมูลใน internet ให้เพื่อน ? และรู้ว่ามะรุมมี ?
คุณลักษณะในการช่วย??เค้าเลยหาต้นมะรุม ? ?
ในสหรัฐมีคนที่ปลูกมะรุมในบ้านอยู่บ้าง ? ? ซึ่งแต่ละบ้านงกมากและไม่ยอมให้ ? ?
/>/>/>เพราะที่สหรัฐเค้ากินกันถือว่าบ้านไหนมีต้นมะรุมเสมือนมีโรงพยาบาลที่บ้าน???? ดังนั้น ? เค้าเริ่มปลูกต้นมะรุน ? และกินใบสดที่ใบไม่แก่และไม่อ่อนจนเกินไป ? ? หรือไม่จะเก็บใบสดมาตากแห้ง (
/>/>ต้องมีผ้าขาวบางคลุมเพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำไป) ?
/>/>บดให้ละเอียดใส่แค็บซูลกินทุกเช้า
/>/>/>มะรุมไม้กลางบ้านของไทยที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมาเป็นเวลานานนอกจากจะรับประทานอร่อยแล้ว ? ชาวอินเดียยังได้ทำการทดลองและเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆได้ถึง 300 ชนิด ??องค์การสหประชาชาติได้ให้การสนับสนุนในการค้น
/>/>คว้าและวิจัยอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในการรักษาโรคขาดอาหารและอาการตาบอดซึ่งเกิดขึ้นในเด็กแรกเกิดจนถึงวัยเจริญเดิบโตในประเทศด้อยพัฒนาเช่นกลุ่มประเทศในอาฟริกาตอนใต้และประเทศอินเดีย ? กลุ่มองค์การกุศลมากมายได้หันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังกับพันธุ์ไม้ชนิดนี้ ? รวมทั้งประเทศไทย ??กลุ่มนักศึกษาแพทย์จำนวน 25
/>/>/>ท่านจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ได้ทำการทดลองวิจัยในการที่จะนำมารักษาผู้ป่วยด้วย
???????? ? โรคงูสวัดแม้แต่กลุ่มประเทศอื่นๆเช่นอังกฤษ , เยอรมัน , รัสเซีย , ญี่ปุ่น , จีน ,
/>/>ก็หันมาให้ความสนใจและทำการค้นคว้าอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ? เบาหวาน โรคเอดส์ และอีกมากมาย ประโยชน์คร่าวๆ ?
/>/>จากวารสารค้นคว้าที่พอจะอ้างอิงได้มีดังต่อไปนี้คือ 1.?? ?
/>ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง 10 ขวบ ?
และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ ? และตาบอด ได้เป็นอย่างดี 2.??
/>ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ?
/>ทำให้สามารถลดการใช้ยาลงโดยความเห็นชอบและการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษาด้วย 3.?? ? รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.??
/>/>ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายถ้าแม้ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อ HIV ?
/>/>นอกจากนี้ยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง 5.??
/>/>ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้และสามารถมีชิวิตอยู่อย่างคนทั่วไปได้ในสังคมการรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศอาฟริกา ? แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็กำลังอยู่ในภาวะทดลอง 6.??
/>/>ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็งแต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ?
/>/>ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบันหากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี ? การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง 7.? ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊า โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก ? โรครูมาติซั่ม 8.? รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น ?
/>/>โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ ?
/>เป็นต้นถ้ารับประทานสม่ำเสมอ ? จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์ 9.?
รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ ? เป็นต้น 10.? รักษาปอดให้แข็งแรง ? รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ ?
??????????
/>/>นอกจากนี้ต้นมะรุมยังมีคุณประโยชน์อีกมากมายซึ่งไม่สามารถที่จะนำมาอ้างอิงได้หมดในที่นี้ ? ? หากสนใจท่านสามารถหาอ่านได้จากเอกสารอ้างอิงกำกับท้ายเอกสารฉบับนี้ วิธีใช้ ?? ??
ใบสด ? ? ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไปนัก ? เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่ เด็กแรกเกิด - 1 ? ปี ? คั้นน้ำจากใบเพียง 1 ? หยด ผสมกับนมให้ดื่มเพียง 1 หยด ต่อ ?1-2 วัน ? ใบมะรุมนี้มีธาตุเหล็กสูงมาก ? ฉะนั้นทารกในวัยเจริญเติบโต - 2 ขวบ ? จึงไม่ควรทานมาก
/>/>เด็กที่เริ่มทานอาหารได้ถึง 3-4 ขวบ ?? ควรทานวันละไม่เกิน ?2 ใบ ?
เพิ่มจำนวนขึ้นทีละใบตามอายุ จนถึง 10 ขวบ เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ? ? รับประทานวันละ 1 กิ่ง ? ? จะทานสดหรือประกอบอาหารก็ได้ ?
/>ถ้าจะให้ได้ผลรวดเร็ว ควรคั้นน้ำดื่มประมาณวันละ 1
ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ หรือ 1 ช้อนชาสำหรับเด็ก ???????? ?
/>การรับประทานสุกควรลวกแต่พอควรเพราะการถูกความร้อนนานเกินไปจะทำให้สารอาหารหลายชนิดเสื่อมคุณภาพลงไปมาก ? ? ถ้าสามารถรับประทานสดได้จะดีมาก ใช้ทำสลัดรวมกับผักสด ? หรือวางบนแซนวิช ?
ผล ??
/>/>รับประทานได้ทั้งฝักอ่อนและฝักแก่พอสมควรฝักแก่จะใช้ลำบากเพราะต้องปอกเปลือกเช่นใช้แกงส้มหรือขูดเอาแต่เนื้อใน ? มาทำแกงกะหรี่ ???
/>/>ฝักอ่อนขนาดถั่วฝักยาวสามารถนำมาทำอาหารได้มากมายหลายชนิด อาทิ ? เช่น ? แกงส้มฝักมะรุม ?? ฝักมะรุมอ่อนผัดน้ำมันหอย ??
/>/>ยำฝักมะรุมอ่อน(เหมือนยำถั่วพลู) สลัดสดใบมะรุมผักรวม ?
/>ทอดมันปลากับฝักมะรุมอ่อน ?? แกงเลียงฝักมะรุมอ่อนและใบมะรุม
/>แกงเผ็ดฝักมะรุมอ่อน ? ไข่ยัดไส้ใบมะรุมหมูสับ ??
ดอกมะรุมชุบไข่ทอด
ผัดพริกขิงฝักมะรุมอ่อน ?
ผัดจืดฝักมะรุมอ่อนใส่ไข่และกุ้ง ?
/>/>ผัดเผ็ดฝักมะรุมอ่อนยอดพริกไทยกับไก่ ฝักมะรุมอ่อนผัดขี้เมา ?
/>ไก่อบฝักมะรุมอ่อน ??? ยอด ดอก ? และฝักมะรุมอ่อนจิ้มน้ำพริก
/>ต้มจืดหมูสับใบมะรุมอ่อน ? ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดสดต่างๆ ?
/>ราดหน้าฝักและใบมะรุมอ่อนไก่/หมู
แกงจืดใบมะรุมอ่อนเต้าหู้ ?
/>ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดหูหนู ? จีน ? แกงจืดวุ้นเส้นใบมะรุมอ่อนใส่เห็ดสด ?
แกงเขียวหวานหรือแกงแดงฝักมะรุมอ่อน(จะใส่เนื้อ หรือไก่ก็ได้ตามแต่ชอบ) ยอด ดอก ? และฝักมะรุมอ่อนชุบแป้งเทมปุระทอด ??? เหล่านี้เป็นต้น
?
เมล็ด ?? ?
/>/>สามารถนำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันเพื่อใช้ประโยชน์ได้มากมายเช่นใช้ทำอาหารได้ ? รักษาโรคปวดตามข้อ โรคเก๊า ? รักษาโรครูมาติซั่ม และรักษาโรคผิวหนัง ? แก้ผิวแห้ง ? ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น ? รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา เปลือกจากลำต้น ?
/>/>นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำมาใช้ประคบ ? แก้โรคปวดหลัง ? ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี ??????? * ?
/>/>ร้านขายยาจีนนำมาใช้เข้าเครื่องยาจีนรักษาโรคหลายประเภท*
/>กากของเมล็ดกากที่เหลือจากการทำน้ำมันสามารถนำมาใช้ในการกรองหรือทำน้ำให้บริสุทธิ์เป็นน้ำดื่มได้กากของเมล็ดมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง ? จากนั้นนำมาทำปุ๋ยต่อได้ ?
ดอก ? ?
/>/>ใช้ต้มทำน้ำชาใช้ดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย
?
ใบตากแห้ง ?
/>สามารถนำใบมาตากแห้งโดยการตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเมื่อแห้งสนิทดีแล้วนำมาป่นเป็นผงบรรจุในหลอดแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การพกพาในกรณีที่เดินทางและหาใบสดไม่ได้ใช้ทำเป็นน้ำชาไว้ดื่มได้ตลอดวันแต่ใบแห้งจะขาดไวตามินซีและไวตามินบีตลอลีนและแร่ธาตุบางจำพวกที่สูญหายในระหว่างการทำให้แห้งควรเก็บผงมะรุมไว้ในที่มืดเช่นขวดพลาสติกชนิดทึบเพื่ อ กั นการเสื่อมคุณภาพแต่คุณสมบัติอื่นๆ ?
/>/>ยังคงเดิมเนื่องจากมะรุมเป็นพืชสมุนไพรกลางบ้านดังนั้นการให้ผลย่อมช้ากว่ายาแผนสมัยใหม่การที่จะใช้ให้ได้ผลอย่างจริงจังต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3
/>/>เดือนและต้องใช้ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอจะให้ผลเป็นที่น่าพอใจร่างกายจะแข็งแรงอยู่เสมอคนธรรมดาที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคก็สามารถใช้ได้เพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อต่างๆ ? สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายเป็นอย่างดียิ่ง
เอกสารอ้างอิง:

Nature's Medicine Cabinet by Sanford ?Holst
The Miracle Tree by Lowell Fuglie
LA times
March 27th 2000 ?article wrote by Mark Fritz.
WWW.PUBMED.GOV . ?(Search for Moringa) (Antiviral Research Volume 60, Issue 3, Nov. 2003, ?Pages 175-180: Depts. of
Microbiology, Pharmaceutical Botany, ?Pharmacology, Faculty of
Pharmaceutical Science, Chulalongkorn University , ? Bangkok 10330 , Thailand . Corresponding author. Tel.: +66-2-218-8378; fax
/>?+66-2-254-5195)

' มะรุม ' ?
/>/>เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ ?
กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ?
/>/>ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ

/>ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ? ทาง อีสาน เรียก "ผักอีฮุม ? หรือผักอีฮึม" ภาคเหนือ เรียก "มะค้อมก้อน" ชาวกะเหรี่ยง
/>แถบกาญจนบุรีเรียก"กาแน้งเดิง" ส่วน ชาวฉาน
แถบแม่ฮ่องสอนเรียก? "ผักเนื้อไก่" เป็นต้น

/>มะรุมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. ? วงศ์ ?Moringaceae
/>เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย

/>มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง ?3-4 เมตร ? ทรงต้นโปร่ง
ใบเป็นแบบขนนกคล้ายกับใยมะขามออกเรียงแบบสลับ ?
ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็นช่อสีขาว ดอกมี 5 กลีบ

ฝักมีความยาว 20-50 เซนติเมตร ? ลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง
/>/>เป็นที่มาของชื่อต้นไม้ตีกลองในภาษาอังกฤษ ?(Drumstick Tree)
/>/>เปลือกฝักอ่อนสีเขียวมีส่วนคอดและส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝัก ?
เปลือกฝักแก่มีสีน้ำตาล เมล็ดมีเยื่อหุ้มลักษณะกลมมีสีน้ำตาล ?
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ? เมล็ดแก่สามารถบีบน้ำมันออกมากินได้

มะรุมเป็นพืชที่ปลูกง่าย ? เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ? ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ ? การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน ?
/>/>เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน 1-5 ต้น ?
เพื่อให้เป็นผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา

/>คนไทยทุกภาคนิยมนำฝักมะรุมไปทำแกงส้ม ?
/>/>ด้วยการปอกเปลือกหั่นฝักมะรุมเป็นชิ้นยาวพอคำ ?
/>/>ถือว่าเป็นผักที่ทำแกงส้มคู่กับปลาช่อนอร่อยที่สุด ?
/>จะต่างกันก็ในรายละเอียดของแกงตามแบบอย่างของแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น ? แม้แต่ทางใต้ก็นิยมนำมะรุมมาทำแกงส้มปลาช่อน ?
/>/>โดยจะใช้ขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวปลาและเพิ่มสีสันของน้ำแกง ?
/>ปรุงรสเปรี้ยวด้วยการใส่ส้มแขกแทนน้ำมะขาม ?
/>/>และหั่นปลาช่อนเป็นแว่นใหญ่ไม่โขลกเนื้อปลากับเครื่องแกง

/>/>ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม ? หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล ?
คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ? ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก ? และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า
น้ำพริกแจ่วบอง ? กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ?
/>/>ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้

ส่วนอื่นๆ ?
/>ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง ?
/>หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ?
/>ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร ?
/>/>เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง ?" ผงนัว" กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ?
/>ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก

?

/>คุณค่าทางอาหารของมะรุม

มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ ?
มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด
/>กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค ?

/>ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด ?2 เท่า ?
/>/>การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3
/>เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน ?

/>นอกจากนี้ ?
มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต ?3 เท่า ?

วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม ?

แคลเซียม
บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด ?

โพแทสเซียม
/>/>บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย ?

ใยอาหาร และ พลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย??
/>/>น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง??? จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
/>/>/>ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก ? หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร ?
และช่วยระบายกาก

ประเทศอินเดีย ?
/>/>หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก ?
/>/>แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม(ภาษาฟิลิปปินส์ ? เรียก "มาลังเก")
/>/>เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย??

ชะลอความแก่

กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ ?
เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ ?
/>คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ
รูทินและเควอเซทิน ?(rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก ?(lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่
จอประสาทตา ตับ ? และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ ?
/>การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย?
/>ฆ่าจุลินทรีย์

/>/>/>สานเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี ? พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ?
/>สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู

/>/>ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร
Helicobactor pylori ? กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว??? ?
การป้องกันมะเร็ง
/>/>/>สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน
?(niazimicin)
/>จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ ?

/>/>/>การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง ? โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม? ?
/>ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ?
/>ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200
/>/>กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6
/>มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก ?

ใบมะรุม 100 กรัม??
( คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน ? ? ? ? ? ?26 แคลอรี
โปรตีน ? ? ? ? ? ?? 6.7 กรัม ( 2 เท่าของนม)??
ไขมัน ? ? ? ? ? ?? ? 0.1 กรัม
ใยอาหาร ? ? ? ? ? ?4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต ? ? 3.7 กรัม
วิตามินเอ ? ? ? ? ? ?6,780 ไมโครกรัม ( 3 เท่าของแครอต)??
วิตามินซี ? ? ? ? ? ?220 มิลลิกรัม ( 7 เท่าของส้ม)??
แคโรทีน ? ? ? ? ? ?110 ไมโครกรัม
แคลเซียม ? ? ? ? 440 ? มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)??
ฟอสฟอรัส ? ? ? ? 110 ? มิลลิกรัม
เหล็ก ? ? ? ? ? ?? ? 0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม ? ? ? 28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม ? ? ? 259 มิลลิกรัม ( 3 เท่าของกล้วย)

พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ?
ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ? ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ? ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ ? หัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา)

/>/>/>กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด ?

กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ? ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย

/>ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม ? การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม ? นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง

/>/>/>สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง??

ฤทธิ์ป้องกันตับ
/>/>/>งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยยาไรแฟมไพซิน ? พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤืธิ์ป้องกันตับ ?
/>/>โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรสอะลานีนทรานมิโนทรานสเฟอเรส ? อัลคาไลน์ฟอสฟาเทสและบิลิรูบินในเลือด ?
/>/>และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ ?
/>โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ
/>สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน ?(silymarin กลุ่มควบคุมบวก) ?
/>มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตัวจากยาเหล่านี้

/>/>ผลิตภัณฑ์มะรุมของต่างประเทศจะอ้างฤทธิ์รักษามากมายทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แค่ฤทธิ์ที่พิสูจน์ได้นี้ก็คงเพียงพอแล้วที่คุณจะเพิ่มใบหรือฝักมะรุมในรายการอาหารของคุณมื้อกลางวันนี้